ความท้าทายและแนวทางแก้ไขสำหรับธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel: คู่มือฉบับสมบูรณ์
Guides
ในยุคที่การค้าปลีกไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ในร้านหรือบนโลกออนไลน์ ลูกค้าคาดหวังประสบการณ์การช็อปปิ้งที่เป็นหนึ่งเดียวจากทุกช่องทาง ดังนั้น Omnichannel Retail จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือกลยุทธ์สำคัญที่ทุกธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
ในมุมมองของ Eric Hazan หุ้นส่วนอาวุโสจาก McKinsey (ปารีส) ได้นิยามการเปลี่ยนแปลงนี้ไว้ว่า “เรากำลังก้าวสู่โลกแห่ง ‘phygital’ หรือการหลอมรวมโลกจริง (physical) และดิจิทัล (digital) เข้าด้วยกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว ในวงการค้าปลีกจะไม่มีการแยกช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์อีกต่อไป ทุกสิ่งจะถูกเชื่อมโยงถึงกันอย่างสมบูรณ์” [1]
ข้อมูลผู้บริโภคตอกย้ำถึงพลังของ Omnichannel อย่างชัดเจน:
- ผู้ซื้อมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากร้านค้าที่มีบริการรับสินค้าแบบ Omnichannel เพิ่มขึ้นถึง 19.8%
- ธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์ Omnichannel มีการเติบโตของรายได้จากการขายสูงกว่าบริษัทที่ไม่ได้ใช้ถึง 179%
- ลูกค้าที่ซื้อแบบ Omnichannel มีมูลค่าตลอดอายุการใช้งาน (Lifetime Value) สูงกว่าลูกค้าช่องทางเดียวถึง 30% [2]
สถิติเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าตลาด Omnichannel มีมูลค่ามหาศาล และในขณะที่ความคาดหวังของลูกค้าซับซ้อนขึ้น การใช้กลยุทธ์ Omnichannel ที่มีประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ซับซ้อนตามไปด้วยเช่นกัน
Vicky Hardiman, Country Head ของ Anchanto ประจำประเทศอินโดนีเซีย อธิบายถึงความท้าทายของ Omnichannel ไว้อย่างน่าสนใจว่า: “ธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel มีความซับซ้อนสูง เพราะต้องบริหารจัดการหลายองค์ประกอบ และไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ละอุตสาหกรรมหรือแม้แต่แต่ละธุรกิจก็มีกระบวนการที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะตัวของตลาดและลูกค้า“
การบริหารจัดการ Omnichannel และ E-commerce อย่างเชี่ยวชาญคือหัวใจสำคัญของธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ แต่การนำไปปฏิบัติจริงก็เต็มไปด้วยความท้าทาย
ในคู่มือฉบับนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึงอุปสรรคที่นักค้าปลีกกำลังเผชิญ พร้อมเผยแนวทางแก้ไขที่ได้รับการพิสูจน์จากร้านค้าชั้นนำทั่วโลก เพื่อช่วยให้คุณสามารถสร้างและขยายระบบ Omnichannel ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานของ Omnichannel Retail กันก่อนดีกว่า
Omnichannel Retail คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ
Omnichannel Retail คือการสร้างประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ (เว็บไซต์, แอป, โซเชียลมีเดีย) หรือออฟไลน์ (หน้าร้าน) หัวใจสำคัญคือการทำให้ทุกช่องทางทำงานประสานกันได้อย่างไร้รอยต่อ
ความแตกต่างจาก Multichannel Retail คือ Omnichannel จะเชื่อมทุกช่องทางเข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและต่อเนื่อง ไม่ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นการซื้อขายจากที่ไหนก็ตาม การทำความเข้าใจความคาดหวังของลูกค้าที่ต้องการประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกัน ทำให้ Omnichannel Retail กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจในปัจจุบัน
ประโยชน์หลักของ Omnichannel Retail:
การนำกลยุทธ์ Omnichannel มาใช้ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการปรับตัว แต่เป็นการสร้างข้อได้เปรียบที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจ:
- ประสบการณ์ที่เหนือกว่า: ลูกค้าสามารถเริ่มต้นช็อปปิ้งในช่องทางหนึ่งและซื้อสินค้าจากอีกช่องทางหนึ่งได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น การดูสินค้าออนไลน์แล้วไปรับที่หน้าร้าน
- ยอดขายที่เพิ่มขึ้น: การมีหลายช่องทางที่เชื่อมโยงกัน ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ตลอดเส้นทางการซื้อขาย ส่งผลให้ยอดขายและอัตราการเปลี่ยนเป็นยอดขายสูงขึ้น
- ลูกค้าที่ภักดี: ประสบการณ์ที่สะดวกและสม่ำเสมอในทุกช่องทางสร้างความประทับใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์และกลับมาซื้อซ้ำ
- ข้อมูลที่แม่นยำ: เมื่อทุกช่องทางเชื่อมต่อกัน คุณจะได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า ทำให้วางแผนการตลาดและการตัดสินใจทางธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ความได้เปรียบในการแข่งขัน: ในตลาดที่ลูกค้าคาดหวังสูง ความสามารถในการบริหารจัดการ Omnichannel จะช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นเหนือคู่แข่งที่ยังคงใช้ช่องทางแบบแยกส่วน
ความท้าทายหลักของ Omnichannel Retail
การเปลี่ยนผ่านสู่กลยุทธ์ Omnichannel ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ผู้ค้าปลีกที่ประสบความสำเร็จก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการรวมการดำเนินงานทั้งหมดเข้าด้วยกันในทุกช่องทาง การทำความเข้าใจความท้าทายเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ระบบจัดการคำสั่งซื้อและการจัดการสินค้าที่ขาดการเชื่อมโยง
การบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์แยกจากกันก็ยุ่งยากแล้ว แต่เมื่อต้องรวมเข้าด้วยกันด้วยบริการอย่างการซื้อออนไลน์แล้วรับที่หน้าร้าน (BOPIS) ความซับซ้อนก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะคำสั่งซื้อต้องถูกส่งไปยังคลังหรือร้านที่ใกล้ลูกค้าที่สุดเพื่อจัดเตรียมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากลูกค้าคาดหวังจะได้รับสินค้าในวันเดียวกัน
การใช้ระบบเก่าหรือกระบวนการแบบ manual ทำให้เกิดปัญหาคอขวดที่สำคัญ ส่งผลให้คำสั่งซื้อล่าช้า และเสี่ยงต่อความผิดพลาด สถิติยืนยันว่า มีเพียง 1 ใน 10 [3] คนเท่านั้นที่เชื่อว่าธุรกิจมอบประสบการณ์ Omnichannel ที่ราบรื่นได้จริง และปัญหาการเชื่อมโยงระหว่างระบบจัดการคำสั่งซื้อกับระบบจัดการสินค้านี่เองที่เป็นสาเหตุหลักที่สร้างความผิดหวังให้กับลูกค้า
2. การจัดการคลังสินค้าแบบขาดการรวมศูนย์
การมองเห็นข้อมูลสินค้าคงคลังในทุกสาขาถือเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดของกลยุทธ์ Omnichannel เมื่อศูนย์กระจายสินค้าที่ใกล้ลูกค้ามีสินค้าไม่พอ คุณต้องหาคลังอื่นเพื่อดำเนินการคำสั่งซื้อได้อย่างรวดเร็ว
ความท้าทายนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลายส่วน:
- คำสั่งซื้อออนไลน์ทั่วไป ที่ต้องมีการจัดส่ง
- คำสั่งซื้อแบบ BOPIS ที่ต้องเตรียมสินค้าที่หน้าร้าน
- การโอนย้ายสินค้า ระหว่างสาขาสำหรับสินค้าที่ขาดสต็อก
หากไม่มีข้อมูลสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ที่เชื่อมต่อทั้งคลังสินค้า หน้าร้าน และศูนย์กระจายสินค้า คุณจะเสี่ยงต่อความล่าช้า การผิดพลาดตามข้อตกลง SLA และสร้างความไม่พอใจให้ลูกค้า ระบบเก่าที่ไม่อัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้คุณอาจรับคำสั่งซื้อสำหรับสินค้าที่หมดสต็อกไปแล้ว และไม่มีทางเลือกอื่นในการจัดส่ง ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อค้างอยู่จำนวนมากรอการเติมสต็อก
Vicky Hardiman อธิบายว่า, “ความท้าทายหลักของ Omnichannel คือการรักษาความถูกต้องของข้อมูลสินค้าคงคลังในทุกช่องทาง การจัดการที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่การ ขายเกินจำนวน (overselling) หรือ การขายต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (underselling) ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการคำสั่งซื้อเร่งด่วน หรือสินค้าที่ขาดสต็อก”
3. ข้อมูลราคาและรายละเอียดสินค้าที่ไม่สอดคล้องกัน
ปัญหาข้อมูลสินค้าและราคาที่ไม่ตรงกันในแต่ละช่องทาง คืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อยากขึ้น เพราะลูกค้าในปัจจุบันมีพฤติกรรมการซื้อที่หลากหลาย เช่น Showrooming (ดูสินค้าที่หน้าร้านแต่ไปซื้อออนไลน์) และ Webrooming (หาข้อมูลออนไลน์แล้วค่อยไปซื้อที่หน้าร้าน) [4]
ลองนึกภาพตามว่า ถ้าลูกค้ากำลังหาข้อมูลเปรียบเทียบราคาแล็ปท็อปทางออนไลน์ แล้วเดินทางไปดูสินค้าจริงที่ร้านค้า แต่กลับพบว่าราคาหรือข้อมูลไม่ตรงกับที่เห็นในเว็บไซต์ นั่นจะทำให้ลูกค้าเสียความเชื่อมั่นและอาจเปลี่ยนใจไปซื้อกับคู่แข่งแทนได้เลย
จากผลสำรวจล่าสุด ชี้ให้เห็นว่า 51% ของลูกค้า [5] “Click and Collect” (คือการกดซื้อสินค้าผ่านมือถือขณะที่อยู่ในร้านค้า) และ 6 ใน 10 คนทำการซื้อผ่านมือถือจากในร้านค้าปลีก และบ่อยครั้งการซื้อเหล่านั้นกลับเป็นการซื้อจากเว็บไซต์ของคู่แข่ง เพราะราคาหรือข้อมูลที่เห็นตรงกันมากกว่า
สถิติเหล่านี้ยืนยันชัดเจนว่า การรักษาความสอดคล้องของข้อมูลราคาและรายละเอียดสินค้าในทุกช่องทางเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าข้อมูลไม่ตรงกัน ลูกค้าจะรู้สึกเหมือนถูกหลอกลวง และจะตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของแบรนด์คุณได้ทันที
4. ขาดข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์
การมีช่องทางการขายที่หลากหลายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ทำให้การติดตามประสิทธิภาพการขาย ความต้องการของลูกค้า และระดับสินค้าคงคลังเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง หากขาดระบบที่สามารถรวบรวมและแสดงผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว คุณจะขาดข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจที่แม่นยำ
การขาดข้อมูลในส่วนนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานหลายด้าน เช่น:
- ทำให้ประเมินผลและติดตามเป้าหมายการให้บริการ (SLA) ได้ยาก
- ทำให้ไม่สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย (Personalized Experience)
- ส่งผลต่อการพยากรณ์และวางแผนสต็อกสินค้าอย่างแม่นยำ
- ทำให้วัดผลความสำเร็จของโปรโมชันและแคมเปญต่างๆ ไม่ได้
- ทำให้ไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งและการประสานงานได้
นอกจากนี้ การขาดข้อมูลที่เพียงพอทำให้การจัดการคำสั่งซื้อจากแต่ละสาขาไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไม่สามารถลดระยะเวลาการจัดส่งหรือป้องกันปัญหาสินค้าหมดสต็อกได้ล่วงหน้า และหากไม่รู้ว่าสาขาไหนควรเป็นผู้จัดส่งสินค้า การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งในขั้นตอนสุดท้าย (last-mile delivery) ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
5. ความซับซ้อนในการเชื่อมต่อระบบเทคโนโลยี
ผู้ค้าปลีกจำนวนมากมักเจอปัญหาในการเชื่อมโยงระบบที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่ ระบบ ณ จุดขาย (Point-of-sale), แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ, เครื่องมือจัดการคลังสินค้า ไปจนถึง ระบบบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM)
ระบบเหล่านี้มักจะทำงานแยกส่วนกัน ทำให้เกิด ข้อมูลที่ถูกแบ่งแยก (data silos) ขึ้น ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างประสบการณ์แบบ Omnichannel ที่ไร้รอยต่ออย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น การรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายช่องทางก็กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนตามไปด้วย เมื่อข้อมูลลูกค้ากระจัดกระจายอยู่ตามระบบต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ก็ยากที่จะนำมาวิเคราะห์และมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ตรงใจลูกค้าแต่ละรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. การฝึกอบรมพนักงานและการจัดการการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในขั้นตอนการทำงานและความรับผิดชอบของพนักงานด้วยเช่นกัน
การฝึกอบรมพนักงานให้มีความสามารถและทักษะที่จำเป็นในการทำงานร่วมกับทุกช่องทางอย่างราบรื่น พร้อมทั้งรักษามาตรฐานคุณภาพการบริการให้สม่ำเสมอ เป็นความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งหากทำได้สำเร็จจะช่วยให้กลยุทธ์ Omnichannel มีประสิทธิภาพสูงสุด
แนวทางแก้ไขความท้าทายของ Omnichannel ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
การทำความเข้าใจความท้าทายต่างๆ ของ Omnichannel เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หัวใจสำคัญที่แท้จริงคือการนำแนวทางแก้ไขที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาปรับใช้เพื่อจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างเป็นระบบ
ด้วยการวางแผนกลยุทธ์ที่ดีและการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสม แม้แต่ความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดของ Omnichannel ก็สามารถเอาชนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Sajal Kohli หุ้นส่วนอาวุโสจาก McKinsey ณ ชิคาโก ได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญในรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Omnichannel ว่า “แทนที่จะลงทุนมหาศาลเพื่อเปิดสาขาใหม่ ควรเปลี่ยนไปลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ” [6]
เพื่อเชื่อมช่องว่างทางธุรกิจและรวมศูนย์การดำเนินงานแบบ Omnichannel ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำ แพลตฟอร์ม Software as a Service (SaaS) บนระบบคลาวด์มาใช้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าไม่มีระบบที่เหมาะสมในการจัดการการดำเนินงานทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ช่องว่างระหว่างฝ่ายขาย, คลังสินค้า และการจัดการคำสั่งซื้อก็จะยังคงอยู่ต่อไป
นี่คือเหตุผลที่โซลูชัน SaaS จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ Omnichannel ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร:

1. รวมศูนย์การขายในทุกช่องทาง
หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ Omnichannel ให้มีประสิทธิภาพคือการบริหารจัดการการขายที่ดี พร้อมกับตรวจสอบและมองเห็นสถานะสินค้าคงคลังได้อย่างทั่วถึงในทุกช่องทาง ทั้งสำหรับการเติมสต็อกและจัดส่งสินค้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่าง ระบบจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management System – OMS) และ ระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System – WMS) เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์
ระบบ | ประโยชน์หลัก |
ระบบจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management System) | – รวบรวมคำสั่งซื้อจากทุกช่องทางการขายออนไลน์ เพื่อให้ติดตามและจัดการได้อย่างครอบคลุมและง่ายดาย |
– ช่วยให้คำสั่งซื้อที่ยังค้างอยู่ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงที ทำให้ไม่เกิดความล่าช้า | |
– เชื่อมต่อกับระบบ POS เพื่อติดตามยอดขายจากหน้าร้าน ทำให้เห็นข้อมูลการขายทั้งหมดแบบองค์รวม | |
– สามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (3PLs) ได้อย่างราบรื่น | |
– ทำให้กระบวนการจัดการคำสั่งซื้อในทุกช่องทางรวดเร็วยิ่งขึ้น | |
ระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System) | – รวบรวมข้อมูลสินค้าคงคลังจากทั้งหน้าร้านและคลังสินค้าหลัก ทำให้ควบคุมและจัดการได้ง่ายขึ้น |
– ทำให้ขั้นตอนสำคัญในการจัดการสินค้าตามคำสั่งซื้อเป็นไปโดยอัตโนมัติ ช่วยลดความผิดพลาดและประหยัดเวลา | |
– เชื่อมโยงการจัดการสินค้าคงคลังเข้ากับกระบวนการจัดการคำสั่งซื้อทั้งหมดอย่างเป็นระบบ | |
– ช่วยให้การจัดการคำสั่งซื้อออนไลน์รวดเร็วยิ่งขึ้น | |
– ช่วยให้การเติมสินค้าในแต่ละสาขาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น |
ระบบ OMS และ WMS ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ยังช่วยให้คุณสามารถจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างยืดหยุ่นและซับซ้อนขึ้น ธุรกิจสามารถกำหนดได้ว่าสินค้าบางรายการจะสำหรับขายออนไลน์เท่านั้น หรือมีเฉพาะที่หน้าร้านเท่านั้น ซึ่งความสามารถนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกลยุทธ์การทำโปรโมชันที่ต้องการเน้นช่องทางการขายใดช่องทางหนึ่งเป็นพิเศษ
2. เชื่อมโยงระบบจัดการคำสั่งซื้อและสินค้า
นอกจากการขายผ่านหน้าร้านและออนไลน์ ผู้ค้าปลีกชั้นนำยังได้นำฟีเจอร์ที่ผสานช่องทางเข้าด้วยกันมาใช้ เพื่อมอบความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า เช่น BOPIS (ซื้อออนไลน์รับที่ร้าน), “ลองสินค้าที่ร้านแล้วซื้อออนไลน์” และ “ซื้อออนไลน์ส่งคืนที่ร้าน”
ระบบจัดการคำสั่งซื้อ (OMS) ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยจัดการกระบวนการที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย โดยจะแจ้งเตือนไปยังร้านค้าหรือคลังสินค้าที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ เช่น เมื่อลูกค้าสั่งรองเท้าออนไลน์และเลือกรับที่หน้าร้าน ระบบ OMS จะส่งการแจ้งเตือนไปยังสาขาที่ใกล้ที่สุดทันทีเพื่อเตรียมสินค้าให้พร้อม ทำให้ลดความผิดพลาดในการสื่อสารที่เกิดจากคน และทำให้ลูกค้าได้รับข้อมูลสถานะสินค้าและการแจ้งเตือนที่รวดเร็ว
3. รวมศูนย์คลังสินค้าและหน้าร้าน
โซลูชัน WMS บนระบบคลาวด์จะช่วยให้คุณมองเห็นข้อมูลสินค้าคงคลังทั้งหมด ทั้งในคลังสินค้าและหน้าร้านค้าปลีกได้อย่างครบถ้วนผ่านแพลตฟอร์มเดียว ทำให้การจัดการสต็อกมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น
Vicky Hardiman กล่าวว่า, “ระบบจัดการคลังสินค้าที่โปร่งใสและเป็นปัจจุบันแบบเรียลไทม์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ธุรกิจสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของสต็อกสินค้าในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน”
ความสามารถหลักของระบบ WMS:
- ตรวจสอบสต็อกแบบเรียลไทม์: ดูระดับสต็อกสินค้าในทุกสาขาได้ทันที
- ตัดสต็อกอัตโนมัติ: เมื่อมีการหยิบหรือจัดการสินค้า ระบบจะตัดยอดสินค้าคงคลังโดยอัตโนมัติ
- อัปเดตข้อมูลทันที: ข้อมูลสินค้าคงคลังจะได้รับการอัปเดตทันทีเมื่อมีสต็อกใหม่เข้ามา
- ติดตามสินค้าคืน: ช่วยติดตามและจัดการสินค้าที่ลูกค้าส่งคืน
- ตรวจสอบสินค้าเฉพาะ: สามารถตรวจสอบสินค้าชำรุด, สินค้าที่สำรองไว้ และสินค้าสำหรับโปรโมชัน
การมองเห็นข้อมูลสินค้าคงคลังที่สมบูรณ์นี้ช่วยให้คุณสามารถประสานงานการจัดส่งและรับสินค้าตามคำสั่งซื้อออนไลน์ได้อย่างราบรื่น เมื่อสาขาหนึ่งมีความต้องการสูงและสต็อกกำลังจะหมด คุณสามารถโอนคำสั่งซื้อไปยังสาขาใกล้เคียงได้อย่างง่ายดาย หรือเสนอทางเลือกอื่นให้ลูกค้า เช่น การสั่งซื้อออนไลน์พร้อมจัดส่งในภายหลัง
4.โซลูชันการจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ (PIM)
การรักษาข้อมูลผลิตภัณฑ์และราคาให้สอดคล้องกันในทุกช่องทางการขายเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งสามารถทำได้ด้วย ระบบการจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ (Product Information Management – PIM) ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลศูนย์กลาง ช่วยให้มั่นใจว่าทุกช่องทางจะแสดงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นหนึ่งเดียวกัน
ประโยชน์ของระบบ PIM ได้แก่:
- ควบคุมรายละเอียดและราคาผลิตภัณฑ์ให้เป็นหนึ่งเดียว
- อัปเดตข้อมูลในหลายช่องทางได้พร้อมกัน
- ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลให้เฉพาะบุคลากรที่ได้รับอนุญาต
- แก้ไขราคาและข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว
การมีข้อมูลที่สอดคล้องกันไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า แต่ยังช่วยส่งเสริมการใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ของ Omnichannel อย่าง BOPIS ด้วย นอกจากนี้ ระบบ PIM ยังช่วยให้คุณจัดการโปรโมชันที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชันเฉพาะบุคคล, ส่วนลด, การสั่งจองล่วงหน้า และการจัด Flash Sale ในทุกช่องทาง
นอกจากนี้ ระบบ Competitive Intelligence อย่างเทคโนโลยี Digital Shelf Analytics จะช่วยเสริมการทำงานของระบบ PIM ด้วยการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคู่แข่ง เช่น รายละเอียดสินค้า รีวิว และราคา ทำให้ธุรกิจสามารถนำไปใช้เปรียบเทียบเชิงกลยุทธ์และติดตามประสิทธิภาพของตนเองในตลาดได้อย่างแม่นยำ
5. ความสามารถในการเชื่อมต่อระบบขั้นสูง
ระบบ OMS และ WMS ที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์จากหลากหลายช่องทาง ทำให้คุณมองเห็นประสิทธิภาพการขาย, ระดับสินค้าคงคลัง และการดำเนินงานได้อย่างครบถ้วน
ความสามารถในการเชื่อมโยงระบบ คู่ค้า และช่องทางต่างๆ ได้แก่:
- รองรับการเชื่อมต่อกับตลาดออนไลน์และร้านค้าออนไลน์หลายแห่ง
- เชื่อมโยงข้อมูลจากร้านค้าจริง
- ประสานงานกับบริษัทขนส่งและคู่ค้าด้านการจัดการสินค้าได้อย่างราบรื่น
- ติดตามสถานะการจัดส่งและคาดการณ์ความล่าช้า
- ส่งการแจ้งเตือนไปยังลูกค้าและจุดรับสินค้า
นอกจากนี้ เทคโนโลยี API ที่ทรงพลังในแพลตฟอร์ม OMS และ WMS ยังช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น SAP, QuickBooks, ระบบ POS และ ERPs ทำให้คุณไม่ต้องเปลี่ยนระบบที่ทีมของคุณใช้งานอยู่แล้ว
การเชื่อมโยงข้อมูลที่ครอบคลุมนี้ยังช่วยให้สามารถจัดทำรายงานและการพยากรณ์ที่ซับซ้อนได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวางแผนการขาย, การจัดการสินค้าคงคลัง, การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า และการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญอื่นๆ
ข้อควรพิจารณาสำคัญก่อนการขยายธุรกิจ Omnichannel Retail
การขยายธุรกิจ Omnichannel Retail ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบและคำนึงถึงปัจจัยสำคัญหลายอย่าง ก่อนที่จะตัดสินใจขยายขีดความสามารถด้านนี้ คุณควรพิจารณาประเด็นเหล่านี้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะเกิดการเติบโตที่ยั่งยืนและลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
1. การประเมินโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
ริ่มต้นด้วยการประเมินว่าระบบเทคโนโลยีที่คุณใช้อยู่ในปัจจุบันมีความสามารถเพียงพอที่จะรองรับความซับซ้อนและปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจากการทำ Omnichannel ได้หรือไม่ เพราะระบบเก่าที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับฟังก์ชันนี้จะสร้างปัญหาได้ในระยะยาว ลองพิจารณาว่าโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ของคุณสามารถจัดการสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่:
- รองรับการซื้อขายจำนวนมากจากหลายช่องทางพร้อมกันได้หรือไม่
- สามารถซิงค์ข้อมูลระหว่างระบบแบบเรียลไทม์ได้หรือไม่
- รองรับการวิเคราะห์และสร้างรายงานที่ซับซ้อนได้หรือไม่
- สามารถผสานรวมกับแพลตฟอร์มและบริการใหม่ๆ ได้หรือไม่
- รองรับการขยายขนาดบนระบบคลาวด์ได้หรือไม่
- การวางแผนการลงทุนและการคืนทุน (ROI)
การขยายธุรกิจ Omnichannel จำเป็นต้องลงทุนสูงทั้งในด้านเทคโนโลยี การฝึกอบรม และการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน โดยส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายด้านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีและการนำไปใช้จะสูงที่สุด แต่ก็ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในเรื่องการฝึกอบรมพนักงานและการจัดการการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการทดสอบระบบและเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
2. ความสอดคล้องของประสบการณ์ลูกค้า
เมื่อขยายธุรกิจไปยังช่องทางต่างๆ การรักษาประสบการณ์ลูกค้าให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันจะมีความท้าทายมากขึ้น ความสอดคล้องของภาพลักษณ์และข้อความแบรนด์ในทุกช่องทางเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คุณภาพการบริการในช่วงขยายธุรกิจจึงต้องอาศัยการจัดสรรทรัพยากรอย่างระมัดระวัง
ดังนั้น ธุรกิจควรมีการกำหนดขั้นตอนการควบคุมคุณภาพสำหรับช่องทางใหม่ๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยมีระบบรวบรวมและนำข้อเสนอแนะจากลูกค้ามาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
3. การจัดการการเปลี่ยนแปลงองค์กร
การเปลี่ยนสู่ธุรกิจ Omnichannel ส่งผลกระทบต่อหลายฝ่ายพร้อมกัน ดังนั้นการสื่อสารจึงเป็นหัวใจสำคัญ คุณจำเป็นต้องฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับระบบและขั้นตอนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และสร้างความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ใหม่ให้ชัดเจนเพื่อป้องกันความสับสน
การมีระบบสื่อสารระหว่างแผนกที่ชัดเจนและมีการวัดผลการทำงาน รวมถึงการให้รางวัลที่สอดคล้องกัน จะช่วยส่งเสริมให้พนักงานทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะทำงานแบบแยกส่วน
4. ความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
เมื่อมีข้อมูลลูกค้าจำนวนมากขึ้น การรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบจึงเป็นสิ่งสำคัญในทุกช่องทาง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น GDPR [7] และ CCPA [8] จะมีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อข้อมูลลูกค้ามีการเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างระบบออนไลน์และออฟไลน์
ดังนั้น ธุรกิจต้องดูแลเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลและการชำระเงินในทุกช่องทาง พร้อมทั้งมีแผนสำรองข้อมูลและรับมือกับภัยพิบัติที่ครอบคลุม นอกจากนี้ นโยบายความเป็นส่วนตัวและการสื่อสารกับลูกค้าควรสะท้อนถึงการจัดเก็บและการใช้ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจากการทำธุรกิจ Omnichannel
5. กรอบการวัดผลการปฏิบัติงาน
การกำหนดมาตรวัดและตัวชี้วัดผลงานหลัก (KPIs) ที่ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนการขยายธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถติดตามความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพและระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้โดยง่าย โดยเฉพาะการวัดผลความพึงพอใจของลูกค้าในทุกช่องทางถือเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จสูงสุดของกลยุทธ์ Omnichannel นอกจากนี้ยังควรติดตามความถูกต้องและความเร็วในการดำเนินการตามคำสั่งซื้อซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ไปจนถึงอัตราการหมุนเวียนและอัตราความพร้อมของสินค้าคงคลังเพื่อบริหารจัดการสต็อกได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือต้องวิเคราะห์อัตราการเปลี่ยนเป็นยอดขาย (Conversion Rate) และอัตราการคงอยู่ของลูกค้า (Retention Rate) ในแต่ละช่องทาง ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจว่าจุดสัมผัสใดสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับธุรกิจ และตัวชี้วัดประสิทธิภาพด้านต้นทุนจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนในความสามารถด้าน Omnichannel อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ตัวอย่างธุรกิจ Omnichannel Retail ที่ใช้เทคโนโลยี OMS และ WMS
ตัวอย่างการนำเทคโนโลยี OMS (Order Management System) และ WMS (Warehouse Management System) มาใช้จริง แสดงให้เห็นว่าการผสานรวมกันของสองระบบนี้สามารถช่วยสร้างการดำเนินงานของธุรกิจ Omnichannel Retail ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ระบบทั้งสองทำงานร่วมกันเพื่อติดตามคำสั่งซื้อและสินค้าคงคลัง พร้อมทั้งแบ่งปันข้อมูลที่ถูกต้องตลอดทั้งเครือข่ายธุรกิจ ทำให้การดำเนินงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ และรองรับปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นและคำขอที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. Poney Group: การบริหารจัดการการดำเนินงานที่มีปริมาณสูง
Poney Group แบรนด์เสื้อผ้าเด็กชั้นนำในมาเลเซีย ซึ่งมีร้านค้ากว่า 40 แห่งในประเทศและอีก 9 สาขาในต่างประเทศ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการขยายธุรกิจ Omnichannel ที่ประสบความสำเร็จ โดยแบรนด์นี้ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจระหว่างประเทศ และร้านค้าปลีกในหลายตลาด
แม้จะมีการขยายธุรกิจครอบคลุมหลายตลาด แต่เดิม Poney Group ยังคงประสบปัญหาในการบริหารจัดการคำสั่งซื้อและสินค้าคงคลังที่ขาดประสิทธิภาพเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น
Rudy Dong Chao หัวหน้าฝ่าย E-commerce และ International Business Union ของ Poney Group ได้กล่าวอธิบายว่า: “ในปี 2020 เมื่อยอดคำสั่งซื้อของเราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เราพบว่ากระบวนการแบบ manual ไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป ทำให้เราตระหนักว่าจำเป็นต้องมีโซลูชันที่เข้ามาช่วยจัดการคำสั่งซื้อให้สำเร็จได้ภายในเวลาทำการและจำนวนพนักงานที่มีอยู่อย่างจำกัด”
ลังจากที่ได้นำเทคโนโลยี SaaS ของ Anchanto มาใช้ Poney Group ก็สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่สำคัญดังต่อไปนี้:
- ช่วยให้สามารถควบคุมและติดตามสินค้าคงคลังในทุกช่องทางได้อย่างแม่นยำ
- ทำให้การจัดการช่องทางการขายทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นจากส่วนกลาง
- ลดความผิดพลาดในการดำเนินงานและต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ช่วยให้การจัดการคำสั่งซื้อมีความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- เพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้าและโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจในตลาดใหม่ๆ
N. Gopala Krishnan ผู้จัดการคลังสินค้าและฝ่ายจัดจำหน่ายของ Poney Group กล่าวว่า, “ก่อนที่เราจะใช้ระบบของ Anchanto เราประสบปัญหาคำสั่งซื้อผิดพลาดและการหยิบสินค้าไม่ถูกต้องบ่อยครั้ง ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมาก การค้นหาสินค้าที่ลูกค้าสั่งจากสาขานับพันแห่งเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่งในแต่ละวัน และนั่นก็ส่งผลให้เกิดความล่าช้า, การยกเลิกคำสั่งซื้อ และค่าใช้จ่ายในการคืนสินค้าตามมาในที่สุด”

2. Luxasia: ผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกความงามแบบ Omni-channel
Luxasia คือผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์ความงามแบบ Omni-channel ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยร้านค้าปลีกกว่า 2,000 แห่งใน 11 ประเทศ Luxasia เป็นตัวแทนแบรนด์ความงามระดับโลกชั้นนำ เช่น Guerlain, Hermès, Loewe, Paco Rabanne และ Calvin Klein ซึ่งต้องอาศัยการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์หรู
การบริหารจัดการเครือข่าย Omni-channel ในหลายประเทศ ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้ Luxasia เผชิญกับปัญหาสำคัญหลายประการ:
- ขาดการควบคุมและมองเห็นภาพรวม: การดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพและขาดการมองเห็นภาพรวม
- ความไม่สอดคล้องของช่องทางการขาย: ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน
- ประสบการณ์ในระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซจำกัด: ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตได้ไม่เต็มที่
- ข้อจำกัดของระบบเดิม: ไม่สามารถเปลี่ยนแทนระบบ SAP ที่ใช้อยู่ได้
หลังจากนำซอฟต์แวร์ Anchanto Order Management มาใช้ Luxasia ก็สามารถสร้างความสำเร็จที่โดดเด่นภายในเวลาเพียง 1 ปี:
- ธุรกิจเติบโต 7 เท่า: สามารถเติบโตได้ในทุกช่องทาง
- บุกตลาดอีคอมเมิร์ซสำเร็จ: ขยายธุรกิจสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซได้อย่างราบรื่น
- พลิกโฉมการดำเนินงาน: ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่
- ควบคุมการดำเนินงานได้อย่างสมบูรณ์: มีการควบคุมและมองเห็นภาพรวมทั่วทั้งภูมิภาค
- ไร้ข้อผิดพลาด: นำระบบการจัดการอีคอมเมิร์ซมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยปราศจากปัญหา

3. Valiram: สร้างประสบการณ์ Omnichannel ที่ไร้รอยต่อสำหรับแบรนด์หรู
Valiram ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าหรูและธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ ซึ่งดูแลแบรนด์ระดับสากลกว่า 200 แบรนด์ ได้เลือกใช้เทคโนโลยี OMS และ WMS จาก Anchanto เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซที่ครอบคลุมของบริษัท
Mukesh Valiram, ผู้อำนวยการบริหารของ Valiram กล่าวว่า “การนำเสนอแบรนด์ในเครือของเราให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ครบครันในทุกช่องทางการขาย ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือหน้าร้าน จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งเป็นหัวใจสำคัญ“
ภารกิจหลักของ Valiram คือการพัฒนาระบบปฏิบัติการหลังบ้านที่ “ปรับขนาดได้” เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานคุณภาพระดับสูงตามที่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกต้องการ เช่น Michael Kors, Tumi, Tory Burch, Victoria’s Secret, Bath & Body Works และ Giuseppe Zanotti
ด้วยการนำเทคโนโลยี SaaS ของ Anchanto มาใช้ Valiram ตั้งเป้าที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่สำคัญดังต่อไปนี้:
- ยกระดับประสิทธิภาพและคุณภาพ: เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการดำเนินงานให้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- รวมและกำหนดมาตรฐาน: ผสานรวมและสร้างมาตรฐานกระบวนการดิจิทัลทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว
- เติบโตอย่างยั่งยืน: ขยายธุรกิจในหลากหลายช่องทางการขายได้อย่างมั่นคง
- Enhanced brand exposure and customer reach

จากกรณีศึกษาเหล่านี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการนำระบบค้าปลีกแบบ Omnichannel มาใช้ให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การมีหน้าร้านหรือช่องทางออนไลน์ แต่ยังต้องอาศัย โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง และ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ ที่รอบด้าน
การมีโซลูชันที่เหมาะสมอย่าง OMS (Order Management System) และ WMS (Warehouse Management System) จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการการดำเนินงานที่ซับซ้อนได้อย่างราบรื่น รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจไปยังช่องทางและตลาดใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไร้ขีดจำกัด
บทสรุป
ธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เหนือกว่าให้แก่ผู้บริโภค พร้อมช่วยลดต้นทุนการจัดส่งและคืนสินค้าผ่านการผสานรวมช่องทางอย่างชาญฉลาด แม้จะมีความท้าทายมากมาย ทั้งการซิงโครไนซ์สินค้าคงคลังหรือความซับซ้อนของการจัดการคำสั่งซื้อ แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่แก้ไขไม่ได้
จากกรณีศึกษาของ Poney Group, Luxasia และ Valiram แสดงให้เห็นว่าการมี โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสม สามารถพลิกอุปสรรคเหล่านี้ให้กลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันได้
ความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel นั้น ขึ้นอยู่กับการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการทำงานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ ระบบ OMS และ WMS ซึ่งจะช่วยผสานการทำงานของช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างไร้รอยต่อ ระบบ SaaS ที่ล้ำสมัยจะทำให้คุณสามารถควบคุมธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์ ได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุม และมองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนในทุกมิติ ทั้งการขาย การดำเนินงาน และการจัดการสินค้าคงคลัง
อนาคตของธุรกิจค้าปลีกคือการสร้าง ประสบการณ์ที่ราบรื่นและผสานรวมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกรูปแบบที่พวกเขาต้องการซื้อสินค้า และธุรกิจที่ลงทุนในความสามารถแบบ Omnichannel ที่แข็งแกร่งตั้งแต่วันนี้ จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเมื่อความคาดหวังของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป
พร้อมที่จะพลิกโฉมการดำเนินงานค้าปลีกและเอาชนะความท้าทายแบบ Omnichannel แล้วหรือยัง? ค้นพบว่าโซลูชันเทคโนโลยีของ Anchanto จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในธุรกิจแบบ Omnichannel ได้อย่างไร
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. ธุรกิจค้าปลีกแบบ Omnichannel คืออะไร?
Omnichannel retail คือกลยุทธ์ที่สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ต่อเนื่องและราบรื่นให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (เว็บไซต์, แอปฯ, โซเชียลมีเดีย) หรือออฟไลน์ (หน้าร้านจริง)
2. ยกตัวอย่างกลยุทธ์ Omnichannel ให้เห็นภาพหน่อยได้ไหม?
ลูกค้าหาข้อมูลรองเท้าคู่ใหม่ทางออนไลน์ จากนั้นตรวจสอบว่ามีสินค้าที่ร้านสาขาใกล้บ้านหรือไม่ เมื่อเดินทางไปถึงร้านก็สามารถลองสินค้าจริง และเมื่อพอใจก็ทำการซื้อที่หน้าร้านได้เลย
3. องค์ประกอบสำคัญของ Omnichannel มีอะไรบ้าง?
องค์ประกอบหลักของ Omnichannel มี 3 ส่วน ได้แก่:
- ช่องทางที่เชื่อมโยงกัน (Integrated Channels): การไหลเวียนของข้อมูลลูกค้าที่ราบรื่นและเป็นหนึ่งเดียวในทุกช่องทาง
- ประสบการณ์แบรนด์ที่สอดคล้องกัน (Consistent Brand Experience): การรักษาเอกลักษณ์และประสบการณ์ของแบรนด์ให้เหมือนกัน ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าจากช่องทางไหน
- แนวทางที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric Approach): ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรกในทุกขั้นตอนของการช้อปปิ้ง
4. ผู้ค้าปลีกต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้างในธุรกิจ Omnichannel?
ความท้าทายหลักๆ คือ การจัดการที่ไม่สอดคล้องกัน ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มการสั่งซื้อ, การบริหารสินค้าคงคลัง, ราคา, และข้อมูลสินค้า รวมถึงการขาดการมองเห็นภาพรวมการดำเนินงานและข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์
5. จะแก้ปัญหาการจัดการสินค้าคงคลังแบบ Omnichannel ได้อย่างไร?
สามารถทำได้โดยการใช้ ระบบจัดการคลังสินค้าบนคลาวด์ (WMS) ซึ่งช่วยให้คุณมองเห็นสินค้าคงคลังทั้งหมดได้แบบเรียลไทม์, อัปเดตข้อมูลอัตโนมัติ และช่วยบริหารสต็อกสินค้าร่วมกันระหว่างคลังสินค้ากับร้านค้าปลีก
6. เทคโนโลยีอะไรที่จำเป็นต่อความสำเร็จของธุรกิจ Omnichannel?
เทคโนโลยีที่จำเป็นได้แก่ ระบบจัดการคำสั่งซื้อ (OMS) สำหรับการประมวลผลคำสั่งซื้อแบบรวมศูนย์, ระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) สำหรับการควบคุมสินค้าคงคลัง, ระบบจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ (PIM) สำหรับข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกัน และแพลตฟอร์มการผสานรวมที่เชื่อมต่อทุกช่องทางเข้าด้วยกันอย่างราบรื่น
ข้อมูลอ้างอิง –
[1] – Mckinsey.com – Omnichannel Shopping on 2030
[2] – Capitaloneshopping.com – Omnichannel Statistics
[3] – Cbinsights.com – The Technology Driving The Omnichannel Retail Revolution
[4] – Criteo.com – BOPIS, Showrooming, and the Hybrid-Channel Future of Shopping
[5] – Cbinsights.com – The Technology Driving The Omnichannel Retail Revolution
[6] – Mckinsey.com – Omnichannel Shopping on 2030
[7] – Gdpr-info.eu – GDPR Definitions
[8] – Oag.ca.gov – CCPA Regulations